ข้อสอบคลื่นเสียง พร้อมเฉลย

"เรียนรู้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเพื่ออยู่ร่วมกับธรรมชาติ"

Privacy & Cookies: This site uses cookies. By continuing to use this website, you agree to their use.
To find out more, including how to control cookies, see here: Cookie Policy

UPDATE: อัปเดตล่าสุด! เงินไหลออกจาก Binance แล้วกว่า 1.2 แสนล้านบาท ภายใน 7 วัน แม้ CZ ยังยืนยันว่า ‘เอาอยู่’
.
เว็บเทรดคริปโตอันดับ 1 ของโลกอย่าง Binance กำลังตกที่นั่งลำบาก และเจอกับบททดสอบครั้งสำคัญเมื่อวานนี้ (13 ธันวาคม) ท่ามกลาง FUD มากมาย ไม่ว่าจะเป็นความไม่เชื่อมั่นใน Proof of Reserve, การถูกตั้งข้อหาทางอาญาจากทางการสหรัฐฯ รวมถึงเงินทุนที่ไหลออกจากเว็บเทรดจำนวนมหาศาลกว่า 120,000 ล้านบาท จนเกิดความหวาดกลัวเรื่องปัญหาสภาพคล่องที่ตามมา
.
เงินไหลออกจากเว็บเทรดกว่า 120,000 ล้านบาท ในช่วง 7 วันที่ผ่านมา
เมื่อวานนี้ Binance เจอกับปรากฏการณ์เงินทุนที่ไหลออกมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งคิดเป็นมูลค่า 1.14 พันล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นประมาณ 3.99 หมื่นล้านบาท ขณะที่ข้อมูลจาก CryptoQuant แสดงให้เห็นว่ามี Bitcoin จำนวน 40,353 BTC และ Ether จำนวน 278,017 ETH ที่ถูกถอนออกไป นอกจากนี้ในช่วง 7 วันที่ผ่านมา นักลงทุนได้ถอนเงินออกจากแพลตฟอร์มไปแล้วมากกว่า 120,000 ล้านบาทเลยทีเดียว
.
ทางด้าน ชางเพ็งเจา หรือ CZ ซีอีโอ Binance เปิดเผยว่า เหตุการณ์นี้ไม่ใช่การถอนเงินมากที่สุดที่เคยเกิดขึ้น โดยเงินทุนที่ไหลออกเมื่อวานนี้ไม่ได้ติด 5 อันดับแรกที่เคยเกิดขึ้นด้วยซ้ำ และยังเคยมีการถอนเงินจำนวนมากกว่านี้ในช่วงการล่มสลายของ LUNA และ FTX ยิ่งไปกว่านั้น เงินฝากกำลังเข้ามาอีกครั้ง
.
สิ่งหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนวิตกกังวลเนื่องจาก Binance ได้หยุดการถอนเงินชั่วคราวในเหรียญ USDC จากเงินที่ไหลออกจำนวนมากเมื่อวานนี้ อย่างไรก็ตาม การถอนเงินสามารถดำเนินการได้อย่างปกติแล้วในวันนี้
.
มั่นใจ Binance ผ่านฤดูหนาวคริปโตรอบนี้ไปได้
CZ ได้พูดถึงความท้าทายในครั้งนี้ว่า บททดสอบความเครียด ซึ่งบริษัทจะเอาชนะความท้าทายในปัจจุบันไปได้ และ Binance จะอยู่รอดในฤดูหนาวคริปโตรอบนี้ โดย CZ กล่าวว่า ‘Stress Test’ ที่เกิดขึ้นจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บเทรดที่สามารถผ่านการทดสอบนี้ไปได้
.
ทางด้านเหรียญ BNB ซึ่งเป็นโทเคนดั้งเดิมของ Binance ฟื้นตัวขึ้นมาอยู่ที่ 275.66 ดอลลาร์ โดยเพิ่มขึ้น 3.8% จากเมื่อวานนี้ ขณะที่เหรียญ Stablecoin ประจำแพลตฟอร์มอย่าง BUSD หลังจากที่มีการหลุด Peg ไปเล็กน้อยเมื่อวานนี้ ขณะนี้ได้กลับมาอยู่ที่ 1 ดอลลาร์อย่างเป็นปกติอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ยังคงจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป
.
นับตั้งแต่การล่มสลายของเหรียญ LUNA เมื่อเดือนพฤษภาคม และการล้มละลายของ FTX เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ไปจนถึงการตั้งถาม Proof of Reserve ของ Binance ในตอนนี้ ทำให้นักลงทุนทยอยเคลื่อนย้าย Bitcoin ออกจากเว็บเทรดแบบรวมศูนย์มากขึ้น
.
เนื่องจากสถานการณ์ต่างๆ ที่มีความไม่แน่นอนสูงมาก อย่าลืมว่า ‘Not Your Key, Not Your Coins’ การจัดเก็บสินทรัพย์ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับนักลงทุนในขณะนี้คงมีเพียง Hardware Wallet เท่านั้น
.
การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงและความผันผวนสูงมาก นักลงทุนจึงควรกระจายความเสี่ยง ศึกษาหาข้อมูล และวางแผนในการลงทุนด้วยความรอบคอบ บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น
.
อ้างอิง:
https://bitcoinist.com/binance-will-survive-crypto-winter-on-chain-data/
.
#TheStandardWealth
______________________________________

 

UPDATE: FETCO ชี้ Recession ไม่กระทบท่องเที่ยวไทย คาดปีหน้าฟื้นต่อเนื่อง เหตุชาวเอเชียไหลเข้า ขณะที่จีนเตรียมเปิดประเทศช่วยหนุน
.
สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ระบุ แม้เศรษฐกิจโลกปี 2566 จะเข้าสู่ภาวะถดถอยจะกระทบต่อภาคการส่งออกของไทย แต่จะไม่มีผลกระทบภาคการท่องเที่ยวที่กำลังอยู่ในช่วงการฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน ส่วนผู้ว่า ททท. มั่นใจปีหน้าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าเป้า 20 ล้านคน ลุ้นจีนเปิดประเทศหนุนนักท่องเที่ยวเพิ่ม
.
กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวว่า ในปี 2566 เศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) อย่างแน่นอน ขณะที่ตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ล่าสุดเดือนพฤศจิกายน ที่ออกมาดีขึ้นอยู่ที่ 7.1% น่าจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ Fed สามารถปรับขึ้นดอกเบี้ยด้วยอัตราที่ชะลอลงได้ ซึ่งจะทำให้ปัญหา Recession ปรับตัวดีขึ้นบ้าง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ตลาดทุนยังขึ้นกับการดำเนินนโนยายการเงินของ Fed ระยะต่อไปว่าจะใช้นโยบายดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับปัญหาเงินเฟ้อต่อรุนแรงมากหรือน้อยอย่างไร
.
ขณะที่ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม คือผลการประชุมดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่กำลังจะออกมาในคืนนี้ 14 ธันวาคม (ตามเวลาสหรัฐฯ) ว่าจะตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยในอัตราเท่าไร รวมถึงตัวเลข Dot Plot ในปี 2566 และการสื่อสารข้อมูลส่งสัญญาณในการกำหนดนโนบายการของประธาน Fed ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางของตลาดหุ้นและเศรษฐกิจโลกในระยะถัดไป
.
อย่างไรก็ดี แม้ในปี 2566 โลกจะเข้าสู่ Recession ยังเชื่อว่าภาคการท่องเที่ยวของไทยในปี 2566 จะมีแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวเอเชียที่เศรษฐกิจยังเติบโตได้ดีจะเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักที่ยังมีความสามารถในการจับจ่ายใช้สอย และต้องการเข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทย รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มีโอกาสจะเห็นการกลับมาต่อเนื่องในปี 2566 ซึ่งจะทดแทนนักท่องเที่ยวชาวยุโรปกับสหรัฐฯ ที่จะเข้าสู่ภาวะ Recession
.
ดังนั้น มีโอกาสที่จำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในปีหน้าจะมีตัวเลขถึง 18-20 ล้านคนหรืออาจสูงกว่านั้นได้ จากปีนี้อยู่ที่ 11 ล้านคน โดยเฉพาะหากจีนเปิดประเทศแล้วไทยถือเป็นเป้าหมายแรกๆ ในการท่องเที่ยวของชาวจีน
.
“Recession ปีหน้าเกิดขึ้นแน่ๆ จะเกิดกับหลายประเทศทั่วโลก ทั้งในยุโรปกับสหรัฐฯ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยแน่ๆ ส่วนภาคการท่องเที่ยวของไทยส่วนมากเป็นนักท่องเที่ยวเป็นชาวเอเชียที่เศรษฐกิจยังเติบโตดี โดยเฉพาะท็อป 5 มีทั้ง มาเลเซีย, อินเดีย, สิงคโปร์, ลาว, กัมพูชา และเวียดนาม ซึ่งคนกลุ่มนี้ยังมีกำลังเที่ยวได้ รวมถึงชาวรัสเซียกับตะวันออกกลาง ก็มีรายได้ที่ดีจากการขายน้ำมันก็ยังต้องการการเที่ยวไทย ถ้าชาวจีนกลับมาน่าจะช่วยให้ภาคท่องเที่ยวไทยไปได้ดีมาทดแทนตลาดสหรัฐฯ กับยุโรปได้”
.
ทั้งนี้ หากภาคการท่องเที่ยวของไทยในปี 2566 ฟื้นตัวตามที่ ททท. ประเมินไว้ หุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์มากที่สุดคือ กลุ่มที่มีความลำบากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ได้แก่ 1. กลุ่มโรงแรม 2. กลุ่มภัตตาคาร 3. กลุ่มขนส่ง อีกทั้งที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มดังกล่าวยังมีราคาที่ปรับขึ้นที่ช้ากว่าเมื่อเปรียบเทียบกับหุ้นกลุ่มอื่นๆ เพราะที่ผ่านมาบริษัทภาคการท่องเที่ยงหลายแห่งยังมีปัญหาหนี้เสียหรือภาระทางการเงิน เช่น ธุรกิจสายการบิน
.
“หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวจะเป็นโอกาสในการทำกำไรที่ดีขึ้น เพราะตอนนี้จะเห็นได้ว่าราคาห้องพักเริ่มทยอยดีขึ้นมาเรื่อยๆ ขณะที่ราคาตั๋วเครื่องบินในช่วงนี้ก็มีราคาแพงขึ้นเป็นพิเศษ ตัวอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวทั้งหมดเชื่อว่าจะได้อานิสงส์ตรงนี้ตามไปด้วย”
.
นอกจากนี้ กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติสำคัญทั้งชาวจีน, อินเดีย, กลุ่มตะวันออกกลางที่มีโอกาสที่จะเดินทางมาเที่ยวประเทศไทยอย่างต่อเนื่องในปีหน้าตามแผนของ ททท. ก็จะเป็นปัจจัยบวกช่วยขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวของไทยได้ต่อเนื่อง โดยจะมาช่วยเสริมและบรรเทาผลกระทบจากภาคอุตสาหกรรมการผลิตของไทยที่จะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่จะถดถอย ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการคาดการณ์ผลกำไรของ บจ. รวมถึงมูลค่าหุ้นที่เหมาะสมในตลาดหุ้นไทย
.
ดังนั้น ประเมินว่าภาพรวมดัชนีหุ้นไทยจะยังได้รับอานิสงส์ต่อการฟื้นของภาคการท่องเที่ยว รวมถึงไทยยังอยู่ในกลุ่มอาเซียนที่เศรษฐกิจยังขยายตัวได้ดีจึงยังถือว่าการลงทุนในหุ้นไทยยังถือเป็น Safe Haven รวมถึงการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดีอีกด้านยังสนับสนุนค่าเงินบาทด้วย
.
ด้าน ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า มีความมั่นใจจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่จะเดินทางมาไทยในปี 2566 เป็นไปตามที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายจะอยู่ประมาณ 18-20 ล้านคน หรือมีสัดส่วน 50% ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีรวม 40 ล้านคนในปี 2562 ก่อนที่จะมีโควิดระบาด โดยตัวเลขดังกล่าวยังไม่ได้นับรวมโอกาสที่นักท่องเที่ยวชาวจีนจะกลับมาเที่ยวไทยได้ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคมปีหน้า และตั้งเป้ารายได้จากการท่องเที่ยวปี 2566 อยู่ที่ 2.38 ล้านล้านบาท หรือมีสัดส่วน 80% ของรายได้รวม 3 ล้านล้านบาทที่ทำได้ในปี 2562 ซึ่งมีสัดส่วนถึง 17% ของ GDP ไทย
.
สำหรับตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมีการทยอยฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 11.5 ล้านคน หรือทำรายได้รวมที่ 1.5 ล้านล้านบาท หรือมีสัดส่วน 50% ของรายได้ในปี 2562 ขณะที่ตัวเลขล่าสุดถึงวันที่ 12 ธันวาคมปีนี้ มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 10.3 ล้านคนแล้ว จากปี 2564 อยู่ที่ราว 4 แสนคน ปี 2563 อยู่ที่ 6.7 ล้านคน ขณะที่ตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ดีขึ้น
.
เนื่องจากนโนยบายของภาครัฐที่พยายามเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว ซึ่งออกหลายมาตราการที่อำนวยความสะดวกและผ่อนคลายข้อจำกัดในการเดินทางเข้ามาไทย โดยปัจจุบันมีตัวเลขเฉลี่ยนักเที่ยวเฉลี่ยมาไทยอยู่ที่ 60,000-70,000 คนต่อวัน กลุ่มหลักเป็นชาวมาเลเซีย, สิงคโปร์, อินเดีย, ลาว, กัมพูชา และที่น่าสนใจคือมีกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียทยอยเดินทางมาไทยเพิ่มขึ้น
.
อีกทั้งพบข้อมูลว่าในช่วงไตรมาส 1/65 นักท่องเที่ยวมียอดการใช้จ่ายต่อคนต่อทริปสูงขึ้นเป็น 77,000 บาท เพราะเข้ามาเที่ยวไทยเป็นระยะเวลานาน ขณะที่ไตรมาส 2/65 ลดลงมาเหลือ 55,000 บาทต่อคนต่อทริป เพราะเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวระยะใกล้ชาวอาเซียนที่มาแทนกลุ่มยุโรป แต่ยังถือว่าสูงกว่าช่วงสถานการณที่โควิดระบาด ที่มียอดการใช้จ่ายต่อคนต่อทริปอยู่ที่ 48,000 บาท
.
“ตัวเลขที่ออกมาการท่องเที่ยวของไทยถือว่าเป็นหารฟื้นตัวแบบ V Shape ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ฟื้นตัวเร็วที่สุดในโลก เพราะมีตัวเลขเฉลี่ยที่ 1.5 ล้านคนต่อเดือนกับ 60,000-70,000 คนต่อวัน ถือว่าใกล้เคียงกับตัวเลขของปี 2562 แล้ว”
.
ยุทธศักดิ์กล่าวต่อว่า หลังจากที่ช่วงต้นปี 2565 ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยเดินทางไปฟื้นความสัมพันธ์กับรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ชาวซาอุดีอาระเบียเดินทางมาไทยเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 91,707 คน ขึ้นมาอันดับที่ 22 ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาไทย ด้วยโอกาสดังกล่าว ททท. จึงมีแผนที่จะตั้งสำนักงานในประเทศซาอุดีอาระเบีย
.
นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬามีแผนที่ขยายระยะเวลาให้ชาวต่างชาติมีระยะเวลาพำนักในประเทศไทยได้ยาวนานขึ้น จากเดิมที่จะครบกำหนดในวันที่ 31 มีนาคม 2566 โดยจะขยายเวลายาวไปถึงสิ้นปี 2566 ได้แก่
1. Visa on Arrival ขยายระยะเวลาจากเดิมอยู่ได้ไม่เกิน 15 วัน เป็นไม่เกิน 30 วัน
2. ขยายเวลาวีซ่าของชาวต่างชาติ 30 วัน ขยายเป็นไม่เกิน 45 วัน
.
#TheStandardWealth

______________________________________

 

Dec 15, 2022 เทหุ้นทันที! ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดร่วงกว่า 140 จุด น้ำมันดิบโลกปิดขึ้นเหนือกว่า 82 ดอลลาร์ ราคาทองคำปิดลงเหลือกว่า 1,818 ดอลลาร์

เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2565 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 33,966 จุด -142 จุด หรือ -0.42% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 3,995 จุด -24 จุด หรือ -0.61% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ระดับ 11,170 จุด -85 จุด หรือ -0.76%

สาเหตุจากถึงแม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.5% ในคืนผ่านมาตามคาดไว้ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 4.25-4.50% ในขณะที่ เฟดส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะยังคงต้องดำเนินการปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นต่อไปอีกมากเพื่อแก้ไขภาวะเงินเฟ้อให้กลับเข้าสู่ที่ระดับ 2% ตามเป้าหมาย ดังนั้น เฟดจะใช้เครื่องมือต่างๆ ในการแก้ปัญหาเงินเฟ้อ สิ่งสำคัญ คือ เฟดปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวสุดท้ายอยู่สูงกว่าระดับ 5.1%

ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 77.28 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +1.94 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +1.7% ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 มีราคาพุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน

ด้านราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 82.70 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +2.02 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +2.4% ก่อนหน้านี้ ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

สาเหตุจากกลุ่มโอเปกพลัสเปิดเผยว่า แนวโน้มการใช้น้ำมันดิบในปี 2023 จะเพิ่มขึ้น 2.25 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้ตัวเลขการบริโภคน้ำมันดิบขึ้นเป็น 101.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งได้ปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจจีนจะฟื้นตัวในปีหน้า สอดคล้องกับสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ หรือไออีเอ เปิดเผยว่า ปริมาณการบริโภคน้ำมันดิบในจีนปีนี้ลดลงวันละ 400,000 บาร์เรล แต่จะฟื้นตัวในปี 2023 ทำให้ปรับเพิ่มความต้องการใช้น้ำมันดิบเพิ่มขึ้นถึงวันละ 1.7 ล้านบาร์เรล ส่งผลให้ตัวเลขการบริโภคน้ำมันดิบขึ้นเป็น 101.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน

นอกจากนี้ ท่อส่งน้ำมันดิบมีชื่อว่าคีย์สโตนจากแคนาดามาสหรัฐอเมริกา ต้องใช้เวลาซ่อมแซมนานกว่าคาดไว้ หลังจากพบการรั่วไหลของน้ำมันดิบเป็นจำนวนถึง 14,000 บาร์เรลในสัปดาห์ผ่านไป ทำสถิติน้ำมันดิบรั่วไหลมากที่สุดในรอบเกือบ 10 ปี ส่งผลกระทบต่อปริมาณสำรองน้ำมันดิบที่เมืองคุชชิ่ง โอกลาโฮมา สหรัฐอเมริกา

รัสเซียขู่ลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบเพื่อตอบโต้กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ของโลกทั้ง 7 ประเทศ หรือกลุ่มจี 7 ประกาศการประกาศใช้มาตรการจำกัดเพดานราคาน้ำมันดิบที่ขนส่งทางทะเลจากประเทศรัสเซียที่ 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล มีผลตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคมนี้

ราคาทองคำล่วงหน้านิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 1,818.70 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ -6.80 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือ -0.4% ขณะที่เมื่อวานนี้ ทำสถิติราคาทองคำปิดสูงสุดในรอบ 5 เดือนครึ่ง หรือนับตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายนผ่านมา ก่อนหน้านี้ ย้อนกลับไปเมื่อเดือนมีนาคม 2565 ราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาสูงสุดระหว่างวันขึ้นไปถึง 2,072.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2020 หรือในรอบ 18 เดือน

สาเหตุจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ และผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริการะยะกลางอายุ 10 ปี พลิกแข็งค่าและเพิ่มขึ้นตามลำดับ หลังจากเมื่อวานนี้โดยเฉพาะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐดิ่งลงต่ำสุดในรอบเกือบ 6 เดือน ซึ่งเป็นผลจากการประชุมของเฟดประกาศปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นตามที่ตลาดคาดไว้ที่ 0.5% อย่างไรก็ตามเฟดกลับชี้เป้าหมายการขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นสูงต่อเนื่องในปี 2023

ติดตาม BTimes ได้ทุกช่องทาง ดังนี้
เฟซบุ๊ก: https://m.facebook.com/btimesch3/
ยูทูป: https://m.youtube.com/c/MisterBan
ทวิตเตอร์: https://mobile.twitter.com/btimes_ch3
เว็บไซต์: https://btimes.biz
พ็อดคาสท์: https://btimes.podbean.com/

#ลงทุน #การเงิน #หุ้น #ทองคำ #น้ำมัน #ตลาดหุ้น #ราคาทอง #เศรษฐกิจ #เล่นหุ้น #btimes #สหรัฐ #ดาวโจนส์ #นาสแดค #เอสแอนด์พี500 #ดอกเบี้ย #เงินเฟ้อ #เศรษฐกิจถดถอย

 

Dec 15, 2022 น้ำมันดิบขาขึ้น! ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกขึ้น 3 วันติดกันกว่า 6 ดอลล์ ยืนเหนือกว่า 82 ดอลล์ คาดโลกใช้น้ำมันดิบเพิ่มปีหน้า

ตลาดซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้า นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม หรือคืนผ่านมา ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 77.28 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +1.94 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +1.7% ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็นวันที่ 3 ติดกัน เพิ่มขึ้น +6.31 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +7.7% หากย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 มีราคาพุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน

ด้านราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 82.70 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +2.02 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +2.4% ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็นวันที่ 3 ต่อเนื่อง เพิ่มขึ้น +6.60 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +8.4% ก่อนหน้านี้ ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

สาเหตุจากกลุ่มโอเปกพลัสเปิดเผยว่า แนวโน้มการใช้น้ำมันดิบในปี 2023 จะเพิ่มขึ้น 2.25 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้ตัวเลขการบริโภคน้ำมันดิบขึ้นเป็น 101.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งได้ปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจจีนจะฟื้นตัวในปีหน้า สอดคล้องกับสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ หรือไออีเอ เปิดเผยว่า ปริมาณการบริโภคน้ำมันดิบในจีนปีนี้ลดลงวันละ 400,000 บาร์เรล แต่จะฟื้นตัวในปี 2023 ทำให้ปรับเพิ่มความต้องการใช้น้ำมันดิบเพิ่มขึ้นถึงวันละ 1.7 ล้านบาร์เรล ส่งผลให้ตัวเลขการบริโภคน้ำมันดิบขึ้นเป็น 101.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน

นอกจากนี้ ท่อส่งน้ำมันดิบมีชื่อว่าคีย์สโตนจากแคนาดามาสหรัฐอเมริกา ต้องใช้เวลาซ่อมแซมนานกว่าคาดไว้ หลังจากพบการรั่วไหลของน้ำมันดิบเป็นจำนวนถึง 14,000 บาร์เรลในสัปดาห์ผ่านไป ทำสถิติน้ำมันดิบรั่วไหลมากที่สุดในรอบเกือบ 10 ปี ส่งผลกระทบต่อปริมาณสำรองน้ำมันดิบที่เมืองคุชชิ่ง โอกลาโฮมา สหรัฐอเมริกา

รัสเซียขู่ลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบเพื่อตอบโต้กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ของโลกทั้ง 7 ประเทศ หรือกลุ่มจี 7 ประกาศการประกาศใช้มาตรการจำกัดเพดานราคาน้ำมันดิบที่ขนส่งทางทะเลจากประเทศรัสเซียที่ 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล มีผลตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคมผ่านมา

ติดตาม BTimes ได้ทุกช่องทาง ดังนี้
เฟซบุ๊ก: https://m.facebook.com/btimesch3/
ยูทูป: https://m.youtube.com/c/MisterBan
ทวิตเตอร์: https://mobile.twitter.com/btimes_ch3
เว็บไซต์: https://btimes.biz
พ็อดคาสท์: https://btimes.podbean.com/

#น้ำมันดิบ #ราคาน้ำมัน #ราคาน้ำมันวันนี้ #ไนเม็กซ์ #เบร็นท์ #นิวยอร์ค #สหรัฐ #เศรษฐกิจ #BTimes

 

Dec 14, 2022 ระดับบิ๊ก 2 ชาติ! เจ้าสัวซีพีผนึกประธานโตโยต้า ญี่ปุ่น ศึกษาแนวทางสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในประเทศไทย
.
บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด (ซีพี) และ โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น (โตโยต้า) ได้จับมือกัน เพื่อผลักดันเป้าหมายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในประเทศไทย พร้อมเปิดกว้างพันธมิตรทุกภาคส่วน
.
นับตั้งแต่ก่อตั้งในปี พ.ศ.2464 ซีพี ได้ดำเนินการและขยายธุรกิจในประเทศไทยในหลากหลายสาขา โดยยึดหลักการสร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติ ประชาชน ซึ่งขยายโอกาสการเข้าถึงสินค้าที่มีคุณภาพ รวมถึงการจัดจำหน่าย อุตสาหกรรม เกษตรกรรม และปศุสัตว์ ในด้านการจัดจำหน่าย ซีพี ได้ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของคนไทยผ่านการขนส่ง และส่งมอบผลิตภัณฑ์ต่างๆ ผ่านการดำเนินการที่หลากหลาย ซึ่งรวมถึง 7-Eleven และช่องทางค้าปลีก ค้าส่ง โดยคำนึงถึงผลกระทบด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ตลอดจนแนวทางเพื่อความยั่งยืน ทั้งนี้ ซีพี ได้กำหนดเป้าหมายสู่การเป็นองค์กร Carbon Neutral ภายในปี ค.ศ.2030 และการบรรลุเป้าหมาย Zero Carbon ภายในปี ค.ศ.2050 แม้จะเป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่ซีพี มีความมุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จ โดยร่วมมือกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนในหลายประเทศ
.
สำหรับโตโยต้า บริษัทฯ เริ่มดำเนินธุรกิจ โดยได้รับการสนันสนุนจากทุกภาคส่วน อาทิเช่น บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นหุ้นส่วนที่สำคัญของโตโยต้า และได้เจริญเติบโตไปพร้อมกับพัฒนาการของสังคมไทย ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ การชำระภาษี การจ้างงาน และการถ่ายทอดเทคโนโลยี และในขณะเดียวกัน บริษัทฯ ก็ได้ผ่านความท้าทายต่างๆ เช่น วิกฤตทางการเงินในภูมิภาคเอเชียในปี พ.ศ.2540 และอุทกภัยในปี พ.ศ.2554
.
มร.อากิโอะ โตโยดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานคณะกรรมการบริหารของ โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “ทั้งสองบริษัทฯ ซึ่งต่างคำนึงถึงประเทศไทยและโลกใบนี้ ได้เห็นร่วมกันที่จะดำเนินการในสิ่งที่เราสามารถเริ่มต้นทำได้ในขณะนี้ โดยอาศัยจุดแข็งและทรัพยากรที่มีอยู่ของแต่ละบริษัทฯ ผมเชื่อว่าการริเริ่มในครั้งนี้ จะนำไปสู่การยอมรับและสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคม” นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสของ ซีพี ได้กล่าวตอบว่า “สิ่งที่ประธานโตโยดะและผม มีร่วมกันคือ ความรู้สึกที่ต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดินไทย ผมรู้สึกยินดีที่ทั้งสองบริษัทฯ มีโอกาสร่วมมือกันเพื่อความเป็นกลางทางคาร์บอนในประเทศไทย และยังเปิดกว้างให้ทุกภาคส่วนมาช่วยกันศึกษา หาแนวทางเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้”
.
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ซีพี และ โตโยต้า จะแสวงหาความร่วมมือทางสังคม ด้วยการเชื่อมโยงกันระหว่างสองบริษัทฯ เราจะช่วยกันดำเนินการในสิ่งที่สามารถทำได้ในขณะนี้ เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนกระบวนการผลิต การขนส่ง และการใช้พลังงาน เพื่อนำไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายใต้กรอบความร่วมมือดังนี้
.
1. ศึกษาการผลิตไฮโดรเจนโดยใช้ก๊าซชีวภาพที่ได้จากของเสียจากฟาร์มในประเทศไทย (การศึกษาในเขตเศรษฐกิจพิเศษ)
2. การใช้รถบรรทุกพลังงานไฟฟ้าแบบเซลล์เชื้อเพลิง (FCEV) ในกิจกรรมของ ซีพี ซึ่งจะใช้ไฮโดรเจนดังกล่าว (นำเสนอแนวทางที่หลากหลาย เช่น BEV และ FCEV โดยพิจารณาจากระยะการเดินทางและน้ำหนักบรรทุก)
3. ศึกษาความร่วมมือด้านการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ โดยอาศัยเทคโนโลยีการเชื่อมต่อ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเส้นทางการจัดส่ง
.
โดยความร่วมมือที่จะเกิดขึ้นในครั้งนี้ ทรู ลิสซิ่ง ซึ่งเป็นบริษัทในเครือซีพีที่ให้บริการด้านการขนส่งจะเข้าร่วมกับโตโยต้า ที่จะเริ่มพิจารณาจากการมีส่วนร่วมของ Hino Motors, Ltd. และกลุ่มบริษัทใน Commercial Japan Partnership Technologies Corporation (ประกอบด้วย ISUZU Motors Limited, SUZUKI Motor Corporation, DAIHATSU Motor Co., Ltd. และ TOYOTA) ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อช่วยแก้ปัญหาความท้าทายที่ภาคการขนส่งต้องเผชิญ และบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน ผ่านการเผยแพร่เทคโนโลยี CASE ในภูมิภาคเอเชียและการมุ่งสู่เป้าหมายนั้น ทุกอุตสาหกรรมและประชาชนทุกคนควรทำงานร่วมกัน ซีพี และ โตโยต้า จึงอยากเชิญทุกภาคส่วนที่มีความปรารถนาเดียวกัน เข้าร่วมเป็นพันธมิตรในความร่วมมือครั้งนี้
.
อ่านเพิ่มเติม คลิก https://bit.ly/3FtuLHf
.
ติดตาม BTimes ได้ทุกช่องทาง ดังนี้
เฟซบุ๊ก: https://m.facebook.com/btimesch3/
ยูทูป: https://m.youtube.com/c/MisterBan
ทวิตเตอร์: https://mobile.twitter.com/btimes_ch3
เว็บไซต์: https://btimes.biz
พ็อดคาสท์: https://btimes.podbean.com/
.
#CP #Toyota #ความเป็นกลางทางคาร์บอน #ขนส่ง #สิ่งแวดล้อม #ธุรกิจ #BTimes

 

Dec 15, 2022 ชีวิตคนรุ่นใหม่! คนไทยรุ่นใหม่ 2 รุ่น หาเลี้ยงแบบเดือนชนเดือน ต้องมี 2 อาชีพขึ้นไป หวังรายได้เพิ่ม
.
ดีลอยท์ ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการที่ปรึกษาการลงทุนชื่อดังระดับโลก เปิดเผยรายงานชื่อว่า ผลสำรวจคนรุ่นมิลเลนเนียมและรุ่นซีทั่วโลก 2022 ความพยายามสร้างสมดุล การสนับสนุนเพื่อการเปลี่ยนแปลง หรือ The Deloitte Global 2022 Gen Z and Millennial Survey: Striving of Balance, Advocating for Change โดยพบความน่าสนใจใน 4 มิติ ได้แก่ คนรุ่นใหม่ต้องดิ้นรนกับค่าครองชีพและวิตกกังวลเรื่องการเงิน พบว่าคนไทยรุ่นใหม่มีความเป็นห่วงดังนี้ คนไทยเจน Y ถึง 36% เห็นว่สค่าครองชีพ ได้แก่ ค่าที่อยู่ ค่าเดินทาง ฯลฯ คือสิ่งที่เป็นห่วงมากที่สุด ขณะที่คนไทยเจน Z ถึง 33% เป็นห่วงว่าตนเองจะไม่มีงานทำ ต่อมา 3 ใน 4 หรือ 75% ของกลุ่มเจน Y (ร้อยละ 77) และกลุ่มเจน Z (ร้อยละ 72) เห็นว่าช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนห่างขึ้นเรื่อยๆ
.
ถัดมา พบว่าเกินครึ่งของคนไทยในกลุ่มเจน Y (ร้อยละ 67) และเจน Z (ร้อยละ 68) มีการใช้ชีวิตแบบเดือนชนเดือน และกังวลว่าจะไม่มีเงินไปจ่ายบิลต่างๆ สำหรับคนในเจน Y ถึง 43% และเจนซี ถึง 51% ไม่มั่นใจว่าจะเกษียณอายุได้อย่างสะดวกสบาย
.
นอกจากนี้ 63% ของคนไทยเจน Y และ67% ของกลุ่มเจน Z มีรายได้มากกว่าช่องทางเดียว ซึ่งเป็นที่มาของ 3 อันดับงานเสริมที่นิยมมากที่สุดของคนไทย ได้แก่ การขายของออนไลน์ การเป็นศิลปิน และการทำงานองค์กรไม่แสวงหากำไร
.
มิติต่อมา คือการลาออกครั้งใหญ่ และโอกาสวิธีการทำงานใหม่ ๆ พบว่าคนไทยรุ่นเจน Y ถึง 13% วางแผนจะลาออกภายใน 2 ปี ขณะที่เจน Z มีถึง 39% ที่จะลาออก ดังนั้น โดยรวมแล้วทั้งคนไทยทั้ง 2 เจนมีถึง 2 ใน 3 หรือ 66% ที่อาจจะลาออกจากงานโดยไม่มีงานอื่นรองรับ หรือการสะท้อนถึงความไม่พอใจต่องาน
.
มิติภาคธุรกิจไทยจะทำอย่างไรเพื่อดึงคนรุ่นใหม่ให้อยู่ต่อ ลดอัตราการลาออก ซึ่งพบว่าต้องทำความเข้าใจวิธีคิดและการให้ความสำคัญของคนรุ่นใหม่ ประกอบด้วย ในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่ดึงคนรุ่นใหม่ไว้กับองค์กรมากที่สุด คือ ค่าตอบแทน แต่ยังมีเหตุผลอื่นด้วยที่สำคัญ คือ ความสมดุลระหว่างงานกับชีวิตที่ดี และ โอกาสการเรียนรู้และการพัฒนาตนเอง
.
นอกจากนี้ 64% ของคนไทยในกลุ่มเจน Y และ 71% ของกลุ่มเจน Z อยากทำงานที่ได้มาเจอหน้าเพื่อนร่วมงานบ้าง แต่ให้มีวันที่สามารถทำงานจากที่บ้านได้ ด้วยเหตุผลเดียวกัน คือ ประหยัดเงิน และ มีเวลาเหลือ
.
ส่วนมิติสุดท้ายเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพจิตและความเครียดเป็นเรื่องที่สำคัญมากขึ้นกับการทำงาน โดย 2 เจนคนรุ่นใหม่มีความเครียดสูง ได้แก่ คนไทยเจน Y ถึง 42% และคนไทยเจน Z ถึง 60% ระบุว่าตนเองเครียดและวิตกกังวลมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยโลกแล้ว คนไทยเครียดมากกว่า สำหรับปัจจัยหลักที่ทำให้เครียดคือ การเงิน โดย 67% ของคนไทยตอบเหตุผลของความเครียดว่าเป็นเรื่องนี้
.
ส่วนสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดภาวะหมดไฟในที่ทำงาน พบว่า มากกว่าครึ่งระบุว่ามาจากการทำงานหนัก และสภาพแวดล้อมกดดันในที่ทำงาน สิ่งเหล่านี้ทำให้คนรุ่นใหม่ลาออก อย่างไรก็ตาม มากกว่าครึ่งของคนรุ่นใหม่มองว่าหลังสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 นายจ้างหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานมากขึ้นแล้ว
.
ทั้งนี้ การสำรวจดังกล่าวได้ทำการสำรวจบุคลากรใน Generation Y (Millennials) จำนวน 8,412 คน และเจน Z อีก 14,808 คนโดยในจำนวนนี้รวมคนไทยรุ่นใหม่ 300 คน สำหรับคนรุ่นเจน Y คือบุคคลที่เกิดระหว่างเดือนมกราคม 1983 – ธันวาคม 1994 และกลุ่มเจน Z คือกลุ่มคนที่เกิดระหว่าง มกราคม 1995 – ธันวาคม 2003

#คนรุ่นใหม่ #GenZ #GenMillennial #เจนZ #GenY #ค่าครองชีพ #BTimes

 

แฉลับ กลโกงสอบตร. แอบซุกไข่สั่นใน กกน.สุดอมตะคือ ติดสินบน : ถอนหมุดข่าว 14/12/65

https://www.youtube.com/watch?v=tlGJTmmZC_E

แฉลับ กลโกงสอบตร. แอบซุกไข่สั่นใน กกน.สุดอมตะคือ ติดสินบน : ถอนหมุดข่าว 14/12/65

https://fb.watch/hpnzB2fy7P/

ถอนหมุดข่าว

แฉลับ กลโกงสอบตร.
แอบซุกไข่สั่นในกกน.
สุดอมตะคือ ติดสินบน

“ขนาดเข้านายสิบ ยังต้องทุ่มเงินถึง 5 แสน แล้วเข้านายร้อย จะต้องใช้เงินเท่าไร”
ชาวเนตจำนวนมาก ตั้งข้อสังเกตทำนองนี้ หลังเห็นข่าวอื้อฉาว ขบวนการโกงสอบเข้าโรงเรียนนายสิบตำรวจ

มีการไล่ออกนักเรียนนายสิบตำรวจขี้โกงถึง 118 นาย และจะมีการเอาผิดทางอาญาด้วย
เป็นกรณีสนามสอบของ บช.ภาค 9 ตั้งแต่เมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2565 แต่ผลการสอบสวน เพิ่งออกมาชัดเจน ว่าโกงสอบกันสะบั้นหั่นแหลก

ตอนนี้ ก็ล่วงรู้หมดแล้วขบวนการโกงสอบ ประกอบด้วยใครบ้าง ไม่ว่าจะเจ้าหน้าที่คุมสอบ โรงเรียนกวดวิชา และนายหน้าหาลูกค้า
ซึ่งข่าวออกมา ดันทับซ้อนกับอีกสนามสอบพอดี คือการสอบเข้าเป็นนายสิบตำรวจฝ่ายอำนวยการ ของ บช.ภาค 5

ซึ่งกรณีนี้ มีผู้ปล่อยคำถามคำตอบข้อสอบออกมา ส่อเค้าเป็นขบวนการโกงสอบ และอาจจะแก๊งเดียวกัน

การสอบที่ภาค 5 มีคนเข้าสอบถึงกว่า 2 แสนคน แต่สอบข้อเขียนผ่านเข้ามาแค่ 1,160 คน ถือว่ามีสัดส่วนการแข่งขันที่สูงมาก และจูงใจให้คนอยากเป็นตำรวจ เลือกใช้บริการโกงสอบ ซึ่งต้องยอมควักเงิน 200,000-500,000 บาท

ร้อนถึง พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ต้องออกโรงสั่งการเอง จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบวิธีการโกงสอบของทั้งภาค 9 และภาค 5 มีพฤติการณ์แบบเดียวกัน

คือ ข้อสอบรั่วไหลออกจากห้องเก็บข้อสอบ ก่อนถึงเวลาการสอบเล็กน้อย โดยแก๊งจะทำการเฉลยข้อสอบกันแบบเร่งด่วน เสร็จแล้วปริ๊นต์โพยคำตอบขนาดบิลร้านสะดวกซื้อ แจกให้ลูกค้าผู้เข้าสอบไปกาๆๆ

ตรงนี้ จะต่างจากวิธีการเก่าแก่ ที่มักส่งคนเรียนเก่ง ที่มีศัพท์เรียกกันว่า “มือปืน” เข้าไปสมัครสอบเป็นทีม แล้วรีบออกจากห้องสอบ มา “ยิง” คำเฉลยผ่านอุปกรณ์สื่อสาร ส่งกลับไปให้ผู้สอบ
แล้วพอมีมาตรการควบคุมเครื่องแต่งกายเข้าสอบ จนแทบจะหาที่ซุกซ่อนเครื่องมือสื่อสารไฮเทคใดๆ ไม่ได้

พวกก็แก้ลำ ถึงขนาดไปดัดแปลงเอา “ไข่สั่น” ที่เป็นตัวช่วยทางเพศ มาเป็นตัวช่วยโกงสอบ ใช้รับสัญญาณสั่นสะเทือนถึงในกางเกงใน อะไรจะอัจฉริยะทางเลว ได้ขนาดนี้

นอกจากนี้ ยังเคยมีการใช้ “แว่นตาสายลับ” แบบในหนัง Mission Impossible ถ่ายข้อสอบ ส่งออกมานอกห้องสอบ ให้ทีมที่รออยู่ข้างนอก ทำเฉลยคำตอบ โดยไม่ต้องเข้าไปสอบเอง

แต่อุปกรณ์ตัวช่วย ไม่ว่า “ไข่สั่น” หรือ “แว่นตาสายลับ” ล้วนแต่โดนจับได้ไล่ทันคาสนามสอบแล้วทั้งสิ้น

จึงนำมาสู่วิธีล่าสุด ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ไฮเทคในการรับส่งคำเฉลย และไม่ต้องส่งทีม “มือปืน” ไปเข้าห้องสอบให้ยุ่งยาก

แต่พวกเล่นฉกข้อสอบ ออกมาจากห้องเก็บข้อสอบกันดื้อๆ ประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนเริ่มสอบ
ชาวเนตหลายคนถึงช็อก บอกวิธีการเหมือนก๊อบมาจากหนังดังพันล้านอย่าง “ฉลาดเกมส์โกง” ยังไงยังงั้น

ซึ่งการจะทำให้เกิดข้อสอบรั่ว หรือมีตีนเดินออกมาจากห้องเก็บได้ ก็ต้องใช้บริการเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบนั่นเอง งานนี้ก็วนกลับมาที่เครื่องมือที่เหล่าตำรวจ เหมือนจะแพ้ทางตลอดกาล นั่นก็คือ สินบน

มีข่าว ร.ต.อ.หญิง จากสนามสอบภาค 9 มีเงินหมุนเวียนมหาศาลร่วม 30 ล้านบาท สอบแล้ว ชื่อ ร.ต.อ.หญิง ลภัสรดา หอมนวพล ตำแหน่ง รอง สว.ฝอ.6 บก.อก.ภ.9 โดยมีนายตำรวจระดับ “พ.ต.ท.” ที่ร่วมมือกับเธอ

ชาวเนตบางรายกระหน่ำด่า โกงกันตั้งแต่ยังไม่ทันเป็นตำรวจ แล้วพอเป็นตำรวจ จะโกงขนาดไหน

หรือขยี้แสบๆ ว่า โง่เง่าไม่เอาถ่าน เรียนได้เกรดแค่ 1.5 ก็ยังเข้าไปเป็นตำรวจได้

ความจริงแล้ว เหตุที่คนสอบเข้าตำรวจ ตัดสินใจโกงสอบ ก็เพราะตำรวจรุ่นพี่นั่นแหละ ที่วางระบบให้มีการโกงสอบได้

ทั้งนี้ ผลสอบสวนยังพบว่า ตัวการจริงๆ เป็นกลุ่มคนในภาคเอกชน ไม่ใช่ข้าราชการ แก๊งที่ว่านี้ จะมีบริการรับโกงสอบเข้าเป็นราชการ ทุกหน่วยทุกสี ไม่ได้จำกัดแค่สอบเข้าตำรวจ

องค์กรตำรวจ ตอนนี้กำลังหาทางวางระบบใหม่ เพื่อปิดช่องทางโกงให้สนิท ขณะเดียวกัน ก็อาจต้องเชือดไก่ ฟันข้อหาหนักอั้งยี่ซ่องโจร เพราะถือว่าทำกันเป็นขบวนการ ครบองค์ประกอบ