จากการคาดการณ์ภาวะทางเศรษฐกิจโลกในระยะ 5-10 ปีข้างหน้า ภาคส่วนต่าง ๆ และ มองแนวโน้มว่าการเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะมีศูนย์กลางอยู่ที่ทวีปเอเชีย เนื่องจากทวีปอเมริกาและยุโรปอยู่ในภาวะฟื้นตัวจากวิกฤตเศรษฐกิจและสภาวการณ์
การรวมกลุ่มเศรษฐกิจของประเทศใน กลุ่มเอเชียจะทำให้เอเชียมีบทบาททางเศรษฐกิจมากขึ้น นอกจากนั้นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรจะส่งผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามชาติจากประเทศในแถบเอเชียใต้ ซึ่งจะมีสัดส่วนการเพิ่มของประชากรสูงไปยังประเทศพัฒนาแล้วที่มีสัดส่วนของประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้น จากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการผลิตของภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ ๆ
ทำให้การขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจต้องปรับทิศทางให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและเสริมสร้างสมรรถนะทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศจากการที่มีเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารใหม่ ๆ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ ทำให้ระบบอินเตอร์เน็ตมีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงวิถีการทำธุรกิจ รัฐบาลจึงมีนโยบายที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิตอล ซึ่งแนวทางในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิตอล ของรัฐบาลมีแนวทางในการขับเคลื่อน 5 ยุทธศาสตร์ (1) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิตอล (Hard
Infrastructure) (2) การสร้างความมั่นคง ปลอดภัย และความเชื่อมั่นในการทำธุรกรรมด้วยเทคโนโลยีดิจิตอล (Soft Infrastructure) (3) โครงสร้างพื้นฐานเพื่อส่งเสริมการให้บริการ (Service Infrastructure) (4) การส่งเสริมและสนับสนุนดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจ (Digital Economy Promotion) (5) ดิจิตอลเพื่อสังคมและทรัพยากรความรู้ (Digital Society) คำสำคัญ: เทคโนโลยีสารสนเทศ เศรษฐกิจดิจิตอล พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ อินเตอร์เน็ต Abstract As
many organization has been forcasted about near future center of Economic Growth is tend to be Asia continent according to EU recovering from Economic crisis. One of the main reason is “Regional Economic Integration” which cause free flow of skilled labour between Asia country. Another reason is Developing of technology and new innovation, Especially in Production Communication technology For example new technology and Internet connection which create competitiveness and changing of production
industry sector. As the reason mentioned above, Thai Government has Create digital economy Policy which contain five strategic frameworks 1) Hard Infrastructure 2) Soft Infrastructure (Security & Investment Trust) 3) Service Infrastructure 4) Digital Economy Promotion 5) Digital Society Keywords: Information Technology, Digital Economy, e-Commerce, Internet Downloads
Download data is not yet available.
บทความวิชาการ (Academic Article) Licenseบทความ ข้อเขียน หรือความคิดเห็นในนิตยสารนี้เป็นของผู้เขียน ไม่ผูกพันกับวิทยาลัย ป้องกันราชอาณาจักรและทางราชการแต่อย่างใด
ที่มาของการพัฒนา: ขาดบริการชำระเงินที่ตอบโจทย์ภาคธุรกิจ มีการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่เท่าเทียม และขาดกลไกการบริหารธรรมาภิบาลที่มีประสิทธิภาพ
หลักการ
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการชำระเงินแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
แผนดำเนินการด้าน Open Infrastructure ในช่วงปี 2565–25671.1 พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินและการชำระเงินดิจิทัลสำหรับภาคธุรกิจ (ระบบ PromptBiz)แนวคิดและหลักการสำคัญของ “ระบบ PromptBiz”เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้ประโยชน์จากมาตรฐานข้อความสากล ISO 20022 รองรับการเชื่อมโยงข้อมูลด้านการค้าและการชำระเงินของกระบวนการธุรกิจดิจิทัลได้อย่างครบวงจร ช่วยลดปัญหาปัจจุบันที่ใช้เอกสารกระดาษจำนวนมาก ทำให้มีต้นทุนสูง ต้องใช้เวลาติดตาม ตรวจสอบเอกสาร และอาจเกิดข้อผิดพลาด ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าวสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่าย หลักการสำคัญ (guiding principle)
ความสำเร็จในต่างประเทศ หลายประเทศประสบความสำเร็จในการพัฒนา e-invoice platform เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา
แผนการพัฒนาแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ บริการด้านการค้าและการชำระเงิน และบริการด้านสินเชื่อ
หมายเหตุ: ในอนาคตจะพิจารณาศึกษาการเชื่อมโยงระหว่าง Domestic Business Platform ใน PromptBiz และ National Digital Trade Platform (NDTP) ที่จะมีการพัฒนาต่อไป 1.2 ยกระดับการใช้มาตรฐานสากลและมาตรฐานกลางในระบบการชำระเงินแนวคิดและหลักการธปท. ผลักดันการใช้มาตรฐานสากลและมาตรฐานกลางในระบบชำระเงิน ที่สำคัญ คือการใช้มาตรฐานข้อความ ISO 20022 เพื่อให้ข้อมูลชำระเงินสามารถมีข้อมูลอื่นที่เกี่ยวข้อง และการใช้เทคโนโลยี API รองรับการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานระบบการเงินอื่นที่สำคัญ รวมทั้งสร้างโอกาสต่อยอดนวัตกรรมทางการเงินใหม่ ๆ ในอนาคต แผนดำเนินการ
1.3 การจัดให้มีโครงสร้างธรรมาภิบาลของระบบการชำระเงินและการทบทวนปรับปรุงโครงสร้างราคาให้เหมาะสมแนวคิดและหลักการที่ผ่านมา digital payment ของไทยเติบโตขึ้นมากและมีการเชื่อมโยงหลากหลาย แต่โครงสร้างธรรมาภิบาลด้านชำระเงินยังปรับปรุงไม่ทันต่อบริบทที่เปลี่ยนไป ทำให้มีข้อจำกัดในการส่งผ่านนโยบายสู่การปฏิบัติที่ผู้เกี่ยวข้องไม่ได้มีส่วนร่วมอย่างครบถ้วน การกำหนดกฎและกติกาที่เป็นข้อจำกัดในการส่งเสริมให้เกิด level playing field ขณะเดียวกันภูมิทัศน์ของบริการโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินมีความซ้ำซ้อน กระจุกตัว ทำให้มีการใช้งานได้อย่างไม่เต็มศักยภาพ ดังนั้น การมีโครงสร้างธรรมาภิบาลด้านระบบชำระเงินที่เหมาะสม จะสนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพของการบริการจัดการและการส่งผ่านนโยบายด้านการชำระเงินของ ธปท. ลงสู่การปฏิบัติ โดยบริการชำระเงินมีกฎและมาตรฐานที่ยอมรับร่วมกันอย่างชัดเจน ซึ่งนำไปสู่การให้บริการที่ดีขึ้นแก่ประชาชนและภาคธุรกิจ แผนดำเนินการ
Guiding Principles: Payment Infrastructure
ด้านการทบทวนโครงสร้างราคา ธปท. ยังคงสนับสนุนให้การกำหนดราคาค่าบริการโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินเป็นไปตามกลไกของตลาด โดยต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของผู้ใช้บริการและของประเทศ รวมทั้งสนับสนุนให้ผู้ใช้บริการทั้งภาคประชาชนและภาคธุรกิจ ลดการใช้เงินสดและเช็ค และใช้ digital payment เป็นทางเลือกหลัก ดังนี้ Guiding Principles: โครงสร้างราคาค่าบริการโครงสร้างพื้นฐานด้านการชำระเงิน
ภายใต้แผนกลยุทธ์ด้านชำระเงินปี 2565–2567 จึงจะมีการทบทวนโครงสร้างราคาค่าบริการและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมเงินสดและเช็ค และโครงสร้างพื้นฐานด้านการชำระเงินที่สำคัญ ตามหลักการข้างต้น พฤติกรรมการใช้เงินสดและเช็คของคนไทยที่ต้องปรับเปลี่ยนเพื่อลดต้นทุนของประเทศประชาชนใช้เงินสดในสัดส่วนถึงร้อยละ 87 ในการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน3 โดยมีต้นทุนจากการใช้เงินสดถึงปีละประมาณ 47,000 ล้านบาท4 สำหรับการใช้เช็ค ถึงแม้ว่าจะมีปริมาณลดลงมาต่อเนื่องในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ร้อยละ 77 ของเช็คใช้กับการชำระเงินที่มีมูลค่าน้อยกว่า 100,000 บาท5 ซึ่งการมีบริการ digital payment อื่นที่สามารถทดแทนได้จะช่วยลดต้นทุนดังกล่าวได้ แนวทางดำเนินการต่อไป ธปท.จะหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ถึงแนวทางการจัดตั้ง PFS และ CPSO ดังกล่าว เพื่อให้ได้ข้อสรุปถึงองค์ประกอบ ขอบเขตหน้าที่ความรับผิดชอบ โดยมีการศึกษาข้อมูลจากตัวอย่างต่างประเทศและวิธีปฏิบัติที่เหมาะสมในไทยเพื่อนำมาประกอบการดำเนินงานต่อไป การผลักดันการใช้ digital ID, digital signature, digital contract ในบริการทางการเงินเพื่อขยายบริการทางการเงินและบริการชำระเงินแบบดิจิทัลให้ได้อย่างกว้างขวาง ซึ่งในประเทศไทยได้มีการพัฒนามาเป็นลำดับ ตั้งแต่การพัฒนา Digital ID โดย NDID เพื่อให้บริการพิสูจน์และยืนยันตัวตน รวมทั้งการออกมาตรฐานในทางปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้ digital signature และ digital contract โดยสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ในระยะต่อไปจึงมุ่งเน้นการขยายผลและนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ให้ได้ดียิ่งขึ้นและสร้างประสบการณ์ที่ดีให้การใช้บริการ โดยดำเนินการร่วมกับ ETDA และผู้ให้บริการต่าง ๆ
การเพิ่มขีดความสามารถ (Capabilities) ของระบบการชำระเงินเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัลโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่จะรองรับโลกดิจิทัลในอนาคต ต้องสามารถเชื่อมโยง ทำหน้าที่หลากหลาย สอดประสานกัน และรองรับปริมาณธุรกรรมได้จำนวนมาก เพื่อสนับสนุนการทำธุรกรรมทางเศรษฐกิจการเงิน ที่สะดวก รวดเร็ว ไร้รอยต่อ ในราคาที่เหมาะสม โดยผู้ใช้บริการได้รับความปลอดภัยและมั่นใจในการทำธุรกรรม ระบบการชำระเงินที่เป็นระบบสำคัญในการทำธุรกรรมทางการเงินของประเทศ จึงควรมีความสามารถทั้งในด้านการโอนเงิน (Funds Transfer) การชำระเงิน (Payment) การหักบัญชี (Clearing) และการชำระดุล (Settlement) รวมถึงความสามารถอื่น ๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ระบบการชำระเงิน เช่น การทำธุรกรรมได้แบบ real-time การแลกเปลี่ยนข้อมูล เป็นเครื่องมือช่วยบริหารสภาพคล่อง การให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง เป็นต้น นอกจากนี้ ควรสามารถเชื่อมโยงกับโครงสร้างพื้นฐานอื่นของประเทศเพื่อรองรับการให้บริการต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงกัน ทั้งบริการการชำระเงินภาคประชาชน ภาคธุรกิจ สถาบันการเงิน และหน่วยงานภาครัฐ ดังนั้น การพิจารณาภาพรวมของโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินและโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินอื่นที่สำคัญ และร่วมกันพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดังกล่าว จึงเป็นสิ่งจำเป็นในการสนับสนุนการเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลอย่างยั่งยืน การเตรียมความพร้อมรองรับโลกการเงินในรูปแบบใหม่ ศึกษาการใช้ CBDC (Central Bank Digital Currency)ในช่วงที่ผ่านมาเทคโนโลยีได้เปลี่ยนโลกการเงินในหลายมิติ โดยเฉพาะ Distributed Ledger Technology (DLT) ที่จัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ เอื้อให้สมาชิกในเครือข่ายสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล ประสานงาน และทำธุรกรรมระหว่างกันได้โดยตรง รวมทั้งสามารถนำสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) มาประยุกต์ใช้ได้อีกด้วย การนำ DLT มาใช้ในภาคการเงิน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการโอนเงินระหว่างกันและการทำงานของโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินและการชำระเงิน ด้วยเหตุนี้ ธนาคารกลางในหลายประเทศจึงให้ความสนใจศึกษาการนำ DLT มาประยุกต์ใช้ในงานธนาคารกลาง ธปท. ให้ความสำคัญกับการศึกษาและทดลองพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (CBDC) ทั้งยังเป็นธนาคารกลางลำดับต้น ๆ ที่ริเริ่มการศึกษาพัฒนาเรื่องดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 2560 และ ในปี 2564 PwC ได้จัดให้ ธปท. เป็นอันดับ 1 ของโลกด้าน wholesale CBDC อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ธปท. ยังไม่มีแผนออก CBDC เพื่อใช้งานจริงในวงกว้าง การพัฒนา CBDC ยังอยู่ในระดับการศึกษา ทดสอบ เช่นเดียวกับธนาคารกลางชั้นนำหลายประเทศ เพื่อให้เกิดความมั่นใจทั้งประโยชน์และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง และการพัฒนา CBDC นี้ไม่ได้ปิดกั้นหรือชะลอการนำเอาเทคโนโลยี มาใช้พัฒนารูปแบบการชำระเงินใหม่ ๆ แต่อย่างใด
|