ปัญหาภาวะหยุดหายใจขณะหลับในเด็กเป็นเรื่องสำคัญที่พ่อแม่ไม่ควรละเลย เด็กประมาณ 3 – 12% พบมีอาการนอนกรนและพบบ่อยในช่วงอายุก่อนวัยเรียนหรือในช่วงวัยอนุบาล ซึ่งปัจจุบันภาวะการนอนกรนที่เป็นอันตรายในเด็กพบมากขึ้นประมาณ 10% และมักพบในช่วงอายุก่อนวัยเรียนและช่วงวัยอนุบาล ผู้ปกครองจึงควรเฝ้าสังเกต หากลูกมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นก้าวร้าว ควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้ หงุดหงิดง่าย สมาธิสั้น เป็นต้น ควรรีบเข้ารับการรักษาให้หายเพื่อจะได้ไม่ส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้และพัฒนาการของเด็กในอนาคต Show
หยุดหายใจขณะหลับในเด็กรักษาได้การรักษาภาวะเสี่ยงอาการหยุดหายใจขณะหลับในเด็กที่มักมีสาเหตุหลักจากต่อมทอนซิลและต่อมอะดีนอยด์โตจากการอักเสบซ้ำ ๆ ของอาการภูมิแพ้หรือเป็นหวัดบ่อย ๆ แพทย์จะเริ่มต้นจาก
ผ่าตัดต่อมทอนซิลและต่อมอะดีนอยด์โตการผ่าตัดรักษาต่อมทอนซิลและต่อมอะดีนอยด์โต โดยทั่วไปใช้ระยะเวลาในการผ่าตัดประมาณ 15 – 30 นาที โดยต่อมทอนซิลจะผ่าตัดผ่านทางช่องปากได้เลย แต่ต่อมอะดีนอยด์ที่อยู่บริเวณด้านหลังโพรงจมูกด้านใน ต้องใส่สายยางเล็ก ๆ ผ่านทางจมูกเข้าไปเพื่อรั้งเพดานอ่อนขึ้นมา และใช้เครื่องมือกระจกมองสะท้อนจากทางช่องปากเพื่อทำการผ่าตัด ระยะเวลาในการผ่าตัดขึ้นอยู่กับการอักเสบว่ามากน้อยเพียงใด เกิดพังผืดเยอะหรือไม่ และภายหลังจากการผ่าตัด แพทย์จะให้นอนรอดูอาการในห้องพักฟื้นก่อนและอาจพักค้างที่โรงพยาบาล 1 คืน จึงอนุญาตให้กลับบ้านได้ ปกติแล้วหน้าที่ของต่อมทอนซิลและต่อมอะดีนอยด์คือ การดักจับเชื้อโรคทางช่องปากไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย ในอดีตหน้าที่หลักของต่อมทอนซิลและอะดีนอยด์ คือ การดักจับเชื้อโรคเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นโรคคอตีบ ไอกรน แต่ปัจจุบันเด็ก ๆ ทุกคนได้รับวัคซีนป้องกันโรคนี้กันครบทุกคน เพราะฉะนั้นหน้าที่ในการดักจับเชื้อโรคของทั้งต่อมทอนซิลและต่อมอะดีนอยด์จึงไม่ใช่หน้าที่สำคัญหลัก ยังมีต่อมน้ำเหลืองตรงบริเวณโคนลิ้น และผนังคอด้านหลังที่สามารถทำหน้าที่ทดแทนกันได้ จึงไม่ใช่เรื่องน่ากังวลของผู้ปกครองหลาย ๆ ท่าน ที่กลัวว่าหากผ่าตัดแล้วจะทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายของบุตรหลานได้ง่ายขึ้น การดูแลหลังผ่าตัดสิ่งที่คนไข้และผู้ปกครองต้องดูแลภายหลังการผ่าตัดคือ
คุณภาพการนอนเด็กดีขึ้นการผ่าตัดต่อมทอนซิล (Tonsils) และต่อมอะดีนอยด์ (Adenoid) ในรายที่มีต่อมทอนซิล (Tonsils) และต่อมอะดีนอยด์ (Adenoid) โต จะช่วยรักษาการอุดตันของทางเดินหายใจในขณะหลับได้ 75 – 100% มีการศึกษาว่าการตัดต่อมทอนซิลและต่อมอะดีนอยด์จะช่วยให้
ในรายที่มีปัญหาสุขภาพด้านอื่น ๆ ไม่สามารถผ่าตัดได้จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ (CPAP) เพื่อป้องกันการอุดตันของทางเดินหายใจในขณะหลับ เป็นการรักษาที่ได้ผลดีเช่นกัน โดยเครื่องอัดแรงดันบวกทำงานโดยการเป่าลมเข้าไปในทางเดินหายใจผ่านทางหน้ากากที่ผู้ป่วยสวมขณะหลับ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยป้องกันการอุดกั้นของทางเดินหายใจได้ ซึ่งการรักษาด้วยวิธีไหนนั้นขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา นอกจากนี้การรักษาอาการอื่น ๆ ที่อาจเป็นปัจจัยร่วมที่ทำให้เกิดปัญหาการหายใจที่ผิดปกติขณะหลับ เช่น ในรายที่มีภาวะน้ำหนักเกิน ควรควบคุมน้ำหนักหรือออกกำลังกาย ปรับพฤติกรรมในการรับประทานอาหาร ซึ่งนับเป็นเป้าหมายการรักษาในระยะยาวต่อไป การนอนกรน เป็นปัญหาของใครหลายๆ คน หากถามว่า แล้ววิธี แก้นอนกรน แบบไหนได้ผลดีที่สุด? คำตอบคือ ต้องทดลองทำแต่ละวิธีดูครับ เพราะแต่ละคน ก็มีระดับการนอนกรนและสาเหตุต่างๆกันไป ซึ่งในความเป็นจริง หากท่านลองค้นหาดูในอินเทอร์เน็ต จะพบวิธีแก้อาการนอนกรนมากมาย ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ แล้วเราควรจะเริ่มวิธีไหนก่อนดี ถ้าจะให้ทำหลายๆ วิธีพร้อมกันก็คงไม่ไหว และแบบไหนที่ได้ผลดีที่สุด ฯลฯ ผมทราบปัญหาตรงจุดนี้ดี จึงได้พยายามศึกษาค้นคว้า ทั้งทดลองด้วยตนเอง และสอบถามจากลูกค้าหลายๆ ท่านของเรา จึงสรุปออกมาได้เหลือแค่ 4 วิธีหลักๆ เรียงลำดับตามขั้นตอน ดังที่ท่านกำลังจะได้อ่านต่อไปนี้ครับ วิธีรักษานอนกรนทั้ง 4 ข้อนี้ ได้ผ่านการพิสูจน์มาแล้ว ว่าได้ผลจริง เพียงแต่มีข้อแม้ว่า ท่านจะต้องตั้งใจ และลงมือทำจริงเท่านั้นนะครับ เรามาเริ่มกันเลย… รักษานอนกรนไปทำไม ปล่อยไว้ไม่ได้หรือ?จากที่ผมเคยอธิบายอย่างละเอียดในบทความก่อนหน้านี้ เกี่ยวกับ สาเหตุนอนกรน และอันตรายของมัน ผมขอพูดให้ฟังแบบสั้นๆ อีกทีละกันนะครับ อาการนอนกรนนั้น เกิดจากการอุดกั้นของช่องทางเดินหายใจของเรา ซึ่งนอนกรนก็ยังแบ่งออกเป็น นอนกรนแบบธรรมดา และนอนกรนแบบอันตราย การนอนกรนแบบธรรมดา คือเกิดการอุดกั้นของช่องทางเดินหายใจเพียงบางส่วน เมื่อหายใจเข้าจะทำให้กล้ามเนื้อสั่นสะเทือนและเกิดเสียงกรนดัง แต่ไม่มีอันตรายใดๆ แต่หากการอุดกั้นนั้นเกิดแบบสมบูรณ์ คืออากาศไม่สามารถไหลผ่านช่องทางเดินหายใจเข้าไปได้เลย จะเรียกว่าสภาวะนี้ว่า ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ หรือ Sleep Apnea การกรนแบบมีภาวะหยุดหายใจร่วมด้วยนี้ เป็นการกรนแบบอันตราย อันนี้ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน ไม่ควรปล่อยไว้ครับ การนอนกรนแบบอันตราย หรือมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับนี้ สามารถทำอันตรายให้กับสุขภาพร่างกายของเราได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งในระยะสั้น เช่น ตื่นมาแล้วปวดหัว ไม่สดชื่น หลับใน หรือง่วงนอนตอนกลางวัน หรืออาจก่อให้เกิดผลเสียในระยะยาวได้ เช่น โรคหัวใจ เส้นเลือดในสมองแตก หรือโรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น ในบทนี้เราจะมาพูดถึงวิธีแก้อาการนอนกรน และแก้ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี บางวิธีแก้ได้เฉพาะการนอนกรนแบบธรรมดา บางวิธีก็สามารถรักษานอนกรนแบบอันตราย (มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ) ได้ วิธีรักษาอาการนอนกรนระดับความยากง่ายรักษานอนกรนแบบธรรมดารักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA)ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมง่ายบรรเทาไม่ได้นอนตะแคงง่ายได้บรรเทาใช้เครื่อง CPAPปานกลางได้ได้ผ่าตัดยากได้ได้ 1. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันข้อนี้เป็นพื้นฐานครับ ผมอยากให้เริ่มทำจากข้อนี้ก่อนเลย เพราะนอกจากสามารถแก้หรือบรรเทาอาการนอนกรนได้ด้วยตัวท่านเองแล้ว ยังส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกายโดยรวมของท่านอีกด้วยครับ
2. นอนตะแคงจากการวิจัยพบว่า อาการนอนกรนมักเกิดขึ้นในช่วงที่เรานอนหงาย เนื่องจากเป็นท่าที่กล้ามเนื้อต่างๆ ในช่องคอ จะหย่อนตัว ตกลงมาปิดช่องทางเดินหายใจได้มากที่สุด ดังนั้น ให้ท่านพยายามหาอะไรมาหนุนหลังไว้ เพื่อบังคับให้นอนตะแคง ก็สามารถลดเสียงกรนลงได้ครับ ในต่างประเทศ เค้าจะทำเป็นอุปกรณ์มาสวมตัวไว้ ซึ่งจะมีลูกยางใส่ไว้ด้านหลัง ทำให้เราไม่สามารถนอนหงายได้ ซึ่งอันนี้ผมยังไม่เจอว่ามีวางขายในประเทศไทยนะครับ แต่ท่านที่ได้ไอเดีย อาจลองไปประยุกต์หาวิธีทำอุปกรณ์คล้ายๆ กันนี้มาลองใช้ดูก็ได้ครับ เช่น เย็บลูกเทนนิสใส่ไว้ในเสื้อด้านหลัง อะไรอย่างนี้เป็นต้นครับ ได้ผลอย่างไร อย่าลืมมาแบ่งปันกันบ้างนะครับ วิธีนี้ใช้ได้ผลสำหรับคนที่นอนกรนแบบธรรมดาเท่านั้น ถ้าท่านมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วย วิธีนี้ไม่สามารถแก้ได้นะครับ เพียงแต่อาจลดระดับความรุนแรงลงได้บ้างเท่านั้น ท่านต้องใช้วิธีที่ 3 ที่ผมกำลังจะกล่าวถึงต่อไปนี้ครับ ภาพตัวอย่างอุปกรณ์ที่นำมาหนุนหลังเพื่อให้นอนตะแคง (ขอบคุณรูปภาพจาก en.tomed.com) 3. ใช้เครื่องอัดอากาศ CPAPหากท่านพบว่าเป็นโรคนอนกรนแบบอันตราย คือมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) ร่วมด้วย หากทำเพียงแค่ข้อ 1 และ 2 ข้างต้น อาจไม่เพียงพอในการรักษานะครับ แต่ผมก็แนะนำให้ทำไปด้วยครับ โดยเฉพาะข้อแรก เรื่องการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพราะนอกจากจะทำให้อาการของโรค OSA บรรเทาลงได้บ้างแล้ว สุขภาพโดยรวมของท่านก็จะดีขึ้นด้วย ซึ่งลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอื่นๆ ไปในตัว หากท่านสงสัยว่าตัวเองอาจมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ผมแนะนำให้ไปพบแพทย์ด้านการนอนกรนโดยเฉพาะ และหากพบว่ามีภาวะ OSA แพทย์จะแนะนำให้ท่านใช้อูปกรณ์อัดแรงดันลมที่เรียกว่าเครื่อง CPAP (อ่านว่า ซี-แพบ) ในการรักษา CPAP เป็นอุปกรณ์ที่แพทย์ทั่วโลกยอมรับ และถือเป็นมาตรฐานสูงสุด (Gold Standard) ในการรักษาอาการนอนกรน และภาวะหยุดหายใจขณะหลับ หากต้องการอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับ CPAP แบบเจาะลึก แนะนำให้อ่านบทความเรื่อง เครื่อง CPAP คืออะไร เครื่อง CPAP สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทได้แก่
ท่านสามารถอ่านรายละเอียดและราคาเครื่อง CPAP แต่ละประเภทได้จากที่นี่ครับ วิธีรักษาการนอนกรนด้วยเครื่อง CPAP นี้ สามารถใช้รักษาได้ ตั้งแต่ผู้ที่นอนกรนแบบธรรมดา, ผู้ที่มีภาวะหยูดหายใจขณะหลับเล็กน้อย (Mild OSA), ปานกลาง (Moderate OSA) ไปจนถึงขั้นรุนแรง (Severe OSA) ที่มา: rcot.org ภาพตัวอย่างการรักษานอนกรนด้วยเครื่อง CPAP (ในรูปคือเครื่องรุ่น DreamStation Go Auto CPAP) 4. การรักษานอนกรนด้วยการผ่าตัด (Surgical Treatment)ปัจจุบันมีวิธีการผ่าตัดหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดี ข้อเสีย และความเสี่ยงแตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น
วิธีแก้ปัญหานอนกรน แบบไหน เหมาะกับเรามากที่สุดขั้นตอนที่ 1 – บรรเทาอาการนอนกรนด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก่อนทุกท่านควรเริ่มที่วิธีที่ 1 ก่อน ถือเป็นการวางรากฐานให้แข็งแรง เพราะการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ผมแนะนำไปนั้น จะทำให้สุขภาพร่างกายโดยรวมของท่านดีขึ้น นอกจากจะลดปัญหาการกรนแล้ว ยังป้องกันความเสี่ยงกับการเกิดโรคอื่นๆ ในอนาคตได้อีกด้วย ผมอยากให้มองวิธีที่ 1 ว่าเป็นการวางรากฐานให้กับร่างกายของเรา ดังนั้นไม่ว่าอาการนอนกรนของท่านจะมากน้อยเท่าไหร่ ก็ขอให้ทำวิธีนี้เป็นพื้นฐานไว้เสมอครับ ขั้นตอนที่ 2 – แก้อาการนอนกรนด้วยการนอนตะแคงขั้นตอนต่อมา ท่านจะต้องทราบว่า อาการนอนกรนของท่านนั้น จัดเป็นประเภทไหน ความรุนแรงอยู่ในระดับใด ซึ่งการจะทราบได้นั้น ต้องผ่านการพบแพทย์ และทำ sleep test ก่อนครับ (รักษานอนกรนที่ไหนดี ดูรายชื่อโรงพยาบาลได้ที่นี่) ถ้าท่านนอนกรนแบบธรรมดา ผมอยากให้ลองฝึกการนอนตะแคงด้วยเทคนิคที่ได้กล่าวในข้อ 2 ดูก่อนครับ อันนี้บางท่านอาจทำได้ยากหน่อย แต่ถ้าทำได้ก็จะช่วยลดการนอนกรนไปได้พอสมควรครับ แต่ถ้าท่านทำ sleep test แล้วพบว่า มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับด้วย ให้มาทำวิธีที่ 3 คือใช้เครื่อง CPAP ครับ ขั้นตอนที่ 3 – ใช้เครื่องอัดอากาศ CPAPโดยส่วนมากแล้ว หากท่านทำ sleep test ในโรงพยาบาล ทางเจ้าหน้าที่มักจะนำเครื่อง CPAP มาให้ได้ทดลองเพื่อหาค่าแรงดันในคืนที่ท่านทำ sleep test นั้นเลย แต่ถ้าท่านทำ sleep test ที่บ้าน เจ้าหน้าที่ก็จะให้เครื่อง CPAP ท่านมาทดลองใช้งานประมาณ 1 สัปดาห์ ซึ่งไม่ว่าจะทำแบบไหน ท่านก็จะได้ค่าแรงดันรักษาที่เหมาะสมเหมือนกันครับ โดยปกติแล้ว หากพบว่าท่านมีภาวะ OSA ไม่ว่าจะอยู่ในขั้นไหน แพทย์จะแนะนำให้รักษาด้วยเครื่อง CPAP เสมอ เพราะเป็นวิธีที่ไม่ต้องเจ็บตัวเหมือนการผ่าตัด แต่ถ้าหากท่านไม่สามารถใช้เครื่องได้ หรือใช้แล้วอาการไม่ดีขึ้น แพทย์จึงแนะนำวิธีการผ่าตัดต่อไปครับ ดูราคาเครื่อง CPAP แต่ละรุ่นได้ที่นี่ ขั้นตอนที่ 4 – รักษาอาการนอนกรนด้วยการผ่าตัดการผ่าตัดนั้นมีหลายวิธี ดังที่ผมได้ยกตัวอย่างมาก่อนหน้านี้ ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ประเมินว่าวิธีไหน เหมาะสมกับอาการของท่านมากที่สุด ซึ่งสุดท้ายแล้ว ท่านจะเป็นคนตัดสินใจเองว่าจะดำเนินการต่อหรือไม่ต่อไป สรุปการนอนกรนนั้น ถือเป็นสัญญาณเบื้องต้น ของอันตรายที่ซ่อนอยู่โดยท่านไม่รู้ตัว นั่นก็คือ โรคหยุดหายใจขณะหลับ หรือ OSA วิธีรักษาอาการนอนกรนทั้ง 4 วิธีที่กล่าวมานี้ เป็นวิธีที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้วว่าได้ผลจริง ถ้าท่านเพียงแค่นอนกรนแบบธรรมดา ก็สามารถใช้วิธีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประจำวัน ควบคู่กับการฝึกนอนตะแคง ก็สามารถลดเสียงกรนลงได้ แต่หากท่านมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วย สองวิธีข้างต้นจะไม่เพียงพอในการรักษา ท่านจะต้องไปพบแพทย์เพื่อรักษาด้วยการใช้เครื่อง CPAP หรือการผ่าตัดเท่านั้นครับ นอนกรนเป็นเรื่องใกล้ตัว ที่หลายคนมองไม่เห็นถึงอันตรายที่ซ่อนอยู่ของมัน ดังนั้นหากท่านมีอาการนอนกรนดังมากเป็นประจำ ท่านควรพบแพทย์เป็นการด่วน เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมต่อไป |