จากแนวคิดในเรื่องกระบวนการบริหารห่วงโซ่อุปทาน ทำให้บริษัทฯ ได้นำข้อดีของแต่ละกลยุทธ์มาประยุกต์ใช้กับบริษัทฯ โดยทำเป็นกลยุทธ์ในการดำเนินงานในด้านห่วงโซ่อุปทาน รองรับกลยุทธ์ขององค์กร โดยพิจารณาจากลักษณะของธุรกิจ และสภาพธุรกิจของบริษัทฯ ได้ดังนี้ Show
1. การสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า คือกิจการต้องทราบว่าลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ต้องการสินค้าใด มีคุณลักษณะอย่างไร ควรกำหนดราคาขายเท่าใดจึงจะเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมทางการตลาด ณ ขณะนั้น 2. การมีต้นทุนที่ต่ำกว่าคู่แข่ง รวมถึงต้องรักษาคุณภาพในการผลิตสินค้า และการให้บริการลูกค้า เพื่อเกิดความเชื่อมั่นในตัวกิจการ โดยการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ในการผลิตสินค้า และบริการอยู่ตลอดเวลา 3. จัดให้มีกระบวนการวิเคราะห์คุณค่า โดยพิจารณาถึงความสัมพันธ์ของกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องระหว่างกัน เพื่อจะได้ภาพรวมในการปฏิบัติงานทั้งองค์กร และขยายไปยังกิจกรรมของคู่ค้า หรือเรียกอีกชื่อว่าเป็น กิจกรรมต้นน้ำ และกิจกรรมของลูกค้า หรือเรียกอีกชื่อว่าเป็น กิจกรรมปลายน้ำ 4. มีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เป็นการลดข้อบกพร่องในการปฏิบัติงาน และในขณะเดียวกันเป็นการเสริมสร้างผลงานที่ดีให้ดียิ่งขึ้น โดยนำเอากิจกรรมหลักในห่วงโซ่อุปทานมาปรับวิธีการดำเนินการ ทั้งการจัดหา, การขนส่ง, การจัดเก็บ และการกระจายสินค้า เพื่อตอบสนองกับกลยุทธ์ด้านห่วงโซ่อุปทาน 1) การใช้กลยุทธ์โซ่อุปทานหลายราย (Many suppliers) เป็นการซื้อวัตถุดิบหรืออุปกรณ์การผลิตจากผู้ขายหลายราย ด้วยกลยุทธ์นี้ ซัพพลายเออร์การผลิตจะตอบสนองความต้องการและลักษณะเฉพาะของบริษัท โดยจะทำใบแจ้งราคาและเงื่อนไขที่จะขายสินค้า โดยปกติผู้ซื้อจะทำการสั่งซื้อสินค้ากับผู้ให้ราคาที่ต่ำกว่า กลยุทธ์นี้จะใช้วิธีให้ ซัพพลายเออร์การผลิตต้องแข่งขันเพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของ ผู้ซื้อ เป็นกลยุทธ์การแข่งขันเชิงรุกของซัพพลายเออร์การผลิต 2) กลยุทธ์การใช้ซัพพลายเออร์การผลิตน้อยราย (Few suppliers) เป็นการติดต่อซื้อปัจจัยการผลิตกับผู้ขายจำนวนน้อยราย กลยุทธ์นี้เป็นการสร้างความสัมพันธ์ในระยะยาวกับซัพพลายเออร์การผลิตเพียง 2-3 ราย การใช้ซัพพลายเออร์การผลิตจำนวนน้อยรายนี้จะสามารถสร้างคุณค่าได้ โดยยอมให้ซัพพลายเออร์การผลิตมีการผลิตที่ประหยัด (Economies of scale) คือ การบริหารต้นทุนแปรผันโดยตรงที่สัมพันธ์กับการเพิ่มปริมาณของผลผลิตจากการ 3) การบูรณาการในแนวดิ่ง (Vertical integration) เป็นการพัฒนาความสามารถที่จะผลิตสินค้าหรือบริการ เช่น ปัจจัยการผลิตหรือการจัดจำหน่าย เป็นกลยุทธ์ซึ่งเกี่ยวข้องกับการผลิตปัจจัยนำเข้า (Input) สู่กระบวนการผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูปและจำหน่ายสู่ตลาด 4) เครือข่ายไคเร็ตสุ (Keiretsu networks) เป็นภาษาญี่ปุ่นใช้เพื่อบรรยายถึงซัพพลายเออร์การผลิตซึ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของการร่วมมือของบริษัท หรือเป็นแนวคิดในการประกอบธุรกิจ ซึ่งเป็นการรวมตัวทางธุรกิจในลักษณะ 3 ประการต่อไปนี้ 4.1) การรวมตัวกันในแนวนอน (Horizontal Keiretsu) เป็นการรวมกลุ่มของบริษัทต่างๆ เพื่อรวมตัวกันดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมที่ใกล้เคียงกัน เช่น กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ 4.2) การรวมตัวกันในแนวดิ่ง (Vertical Keiretsu) คือการที่กลุ่มธุรกิจนั้นๆ ดำเนินกิจการอุตสาหกรรมแล้วได้จัดตั้งบริษัทในเครือข่ายขึ้นเพื่อผลิตชิ้นส่วน (Spare part) ป้อนให้กลับโรงงานที่ผลิตสินค้าสำเร็จรูปที่เป็นบริษัทแม่ เช่นบริษัทผลิตรถยนต์ จะจัดตั้งบริษัทในเครือผลิตชิ้นส่วนของรถยนต์มาป้อน 4.3) การรวมตัวในด้านการจัดการขนย้ายสินค้าเพื่อการจัดจำหน่าย (Distribution Keiretsu) เป็นการวมตัวของกลุ่มบริษัทผู้ผลิตทั้งในอุตสาหกรรมประเภทเดียวกันหรือต่างประเทศ ในการจัดจำหน่ายและขายปลีกสินค้าตามช่องทางการกระจายสินค้าเดียวกันและขนส่งร่วมกัน ผู้ผลิตสินค้าอุตสาหกรรมใหญ่ๆ จำนวนมากของญี่ปุ่นจะใช้วิธีที่อยู่ตรงกลางระหว่างการซื้อกับซัพพลายเออร์การผลิต 2-3 ราย กับการรวมตัวในแนวดิ่ง ผู้ผลิตเหล่านี้มักเป็นผู้สนับสนุนด้านการเงินให้กับซัพพลายเออร์การผลิตด้วยตนเอง หรือให้ซัพพลายเออร์การผลิตกลายมาเป็นผู้ให้ความร่วมมือ มีความสัมพันธ์อย่างไม่เป็นทางการที่เรียกว่า ไคเร็ตสุ (Keiretsu) สมาชิกของไคเร็ตสุ (Keiretsu) จะรับประกันความสัมพันธ์ในระยะยาว และได้รับการคาดหวังที่จะทำหน้าที่เป็นหุ้นส่วน มีการจัดหาเทคโนโลยีที่เชี่ยวชาญ และรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์สู่ผลิตภัณฑ์ สมาชิกของไคเร็ตสุ (Keiretsu) สามารถปฏิบัติการเป็นผุ้ขายปัจจัยการผลิตโดยสร้างเครือข่ายที่ต่ำลงไป โดยร่วมมือกับซัพพลายเออร์การผลิตที่ 2 หรือ 3 ต่อไปด้วย 5) บริษัทเสมือนจริง (Virtual companies) เป็นบริษัทที่ดำเนินการผ่านอินเตอร์เน็ต ในรูปของตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์ (E-Marketplace) ซึ่งขึ้นอยู่กับซัพพลายเออร์การผลิตหลายราย ซึ่งสร้างความสัมพันธ์ด้วยการจัดหาสินค้า หรือบริการตามความต้องการของลูกค้า หรือบริษัทอื่น ซึ่งอาจรู้จักกันดีในลักษณะบริษัทเครือข่าย (Network companies) การมีลักษณะธุรกิจแบบนี้เพื่อขจัดปัญหาจากข้อจำกัดของการบูรณาการในแนวดิ่ง การพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องตามความเชี่ยวชาญโดยอาจต้องมีการบูรณาการในแนวดิ่ง ซึ่งทำให้เกิดความซับซ้อนมากขึ้น บริษัทจะมีแผนกหรือฝ่ายในการผลิตสิ่งต่างๆ ของตนเองมากขึ้น และอาจมีสายการบังคับบัญชามากเกินไป ดังนั้นการบูรณาการในแนวดิ่งอาจทำให้องค์กรเข้าสู่ธุรกิจยุ่งยากหรือไม่สามารถจัดการได้ดี เพื่อแก้ปัญหาอาจทำได้โดยการหาซัพพลายเออร์การผลิตที่ดีพร้อมทั้งมีความยืดหยุ่นในทางธุรกิจ ในโลกธุรกิจปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งมีปัจจัยที่เหนือการควบคุมที่ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจอย่างมาก เจ้าของธุรกิจหันมาให้ความสำคัญกับซัพพลายเชนเป็นลำดับต้นๆ “ซัพพลายเชน” ถือเป็น “กระดูกสันหลัง” ของธุรกิจที่จะสามารถเพิ่มขีดและประสิทธิภาพในการแข่งขันในตลาดได้ ฝ่ายต่างๆในซัพพลายเชนทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เห็นเป้าหมายเป็นภาพเดียวกัน มีการดำเนินงานเชื่อมต่อกันและเดินไปสู่จุดหมายจุดเดียวกันเพื่อจะส่งมอบสินค้าและบริการให้กับลูกค้าแบบเหนือความคาดหมาย การร่วมมือกันระหว่างแต่ละฝ่ายเป็นการร่วมมือกันในระดับกลยุทธ์ขององค์กร และเป็นที่มาของการบูรณาการซัพพลายเชน (Supply Chain Integration) การบูรณาการซัพพลายเชน (Supply Chain Integration) คืออะไรการบูรณาการซัพพลายเชน หรือ Supply Chain Integration คือ การร่วมมือกันทางด้านกลยุทธ์และการจัดการซัพพลายเชน ตั้งแต่แผนความต้องการและคำสั่งซื้อของลูกค้า การวางแผนการผลิต การจัดซื้อ การขนส่งและการจัดจำหน่าย ระหว่างทุกๆฝ่ายในซัพพลายเชน โดยมีการประสานงานและร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อปรับปรุงการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพ โดยที่การบูรณาการร่วมกันนั้นจะส่งผลให้เกิดประโยชน์ร่วมกันต่อทุกฝ่ายในซัพพลายเชน จุดประสงค์ของการบูรณาการซัพพลายเชนขึ้นเพื่อให้การดำเนินงานในซัพพลายเชนมีประสิทธิภาพ มีข้อมูลที่แม่นยำเพื่อสามารถส่งมอบสินค้าและบริการให้ลูกค้าได้อย่างพึงพอใจ ความสำคัญของการบูรณาการซัพพลายเชนวัตถุประสงค์หลักของการบูรณาการซัพพลายเชนคือ เพื่อให้ลูกค้าพึงพอใจกับสินค้าและบริการ ไม่ว่าจะเป็นในมิติด้านคุณภาพ การส่งมอบ ระยะเวลาในการรอ บริการหลังการขาย ลองนึกภาพถ้าในซัพพลายเชนของคุณสามารถรับส่งข้อมูลความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ กระบวนการผลิตกระชับ และสามารถจัดส่งสินค้าให้ลูกค้าได้เหนือความคาดหมาย การบูรณาการซัพพลายเชนสามารถช่วยยกระดับความพึงพอใจของลูกค้าและในขณะเดียวกันก็สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการซัพพลายเชนได้อีกด้วย ผมขอแบ่งปัจจัยที่ทำไมองค์กรถึงควรให้ความสำคัญในการบูรณาการซัพพลายเขนออกเป็นปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน ตามนี้ครับ ปัจจัยภายนอก
ปัจจัยภายใน
มิติในการบูรณาการซัพพลายเชน (Supply chain integration)การบูรณาการซัพพลายเชน จะแบ่งออกเป็น 2 มิติ ได้แก่ การบูรณาการซัพพลายเชนภายใน (Internal supply chain integration) และการบูรณาการซัพพลายเชนภายนอก (External supply chain integration)
การบูรณาการซัพพลายเชนภายใน (Internal supply chain integration) คือการที่ฝ่ายต่างๆในองค์กรร่วมมือกันในการปรับปรุงพัฒนาการดำเนินงานภายในให้เป็นหนึ่งเดียว ไม่มีการทำงานแบบเป็นไซโล นั่นหมายความว่า การดำเนินการตั้งแต่ Sales and Marketing, Research and Development, Procurement, Planning, Logistics มีการ synchronize ในการทำงานกันอย่างราบรื่น ยกตัวอย่างเช่น ฝ่าย Research and Development มีแพลนว่าจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อที่จะออกขายได้ในอีก 3 เดือนหน้า ทุกฝ่ายในซัพพลายเชนจะต้องคุยกัน sync แผนงานกันเพื่อให้มองเห็นเป็นภาพเดียว เช่น ฝ่าย Sales and Marketing จะต้องวางแผนช่องทางการขายและการตลาดเพื่อรองรับสินค้าใหม่นี้ ในขณะที่ฝ่ายจัดซื้อจะต้องวางแผนการจัดซื้อจัดจ้างและเชื่อมแผนงานนี้ไปกับฝ่าย Planning เพื่อให้การผลิตไม่สะดุด ท้ายที่สุด Logistics จะต้องวางแผนการขนส่งเพื่อให้จัดส่งสินค้าไปยังลูกค้าอย่างราบรื่น เมื่อองค์กรมีการบูรณาการภายในสำเร็จ การบูรณาการซัพพลายเชนภายนอก (External Supply Chain Integration) เป็นขั้นตอนถัดไปที่ทำได้ไม่ยาก การบูรณาการซัพพลายเชนภายนอกคือร่วมมือกันระหว่างองค์กรและผู้เกี่ยวข้องในซัพพลายเชน ไม่ว่าจะเป็นซัพพลายเออร์ ผู้รับเหมา ลูกค้า ผู้บริการขนส่ง เป็นต้น ในการร่วมมือกันทางด้านกลยุทธ์และการจัดการซัพพลายเชนเพื่อให้การรับส่งข้อมูลและสินค้าเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ การบูรณาการซัพพลายเชนภายนอกจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากซัพพลายเชนภายในองค์กรยังไม่บูรณาการรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ตัวอย่างองค์กรที่บูรณาการซัพพลายเชนเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น ผมขอยกตัวอย่างในอุตสาหกรรมค้าปลีกและ FMCG (Fast Moving Consumer Goods) ที่ต้องเจอกับความผันผวนในความต้องการของลูกค้าตลอดเวลา ในสหรัฐอเมริกา บริษัท พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล จำกัด (มหาชน) หรือ P&G ได้บูรณาการซัพพลายเชนกับ วอลมาร์ต บริษัทค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดในโลก โดยการเชื่อมต่อระบบในการส่งต่อข้อมูลความต้องการของลูกค้าเพื่อ P&G จะได้สามารถกระจายสต๊อกออกไปตามสาขาของวอลมาร์ตได้อย่างแม่นยำ ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ P&G ส่งของให้เยอะเกินไปส่งผลให้สต๊อกบวมและจะต้องเลขายลดราคาในที่สุด ผลจากการบูรณาการทางซัพพลายเชนนี้ทำให้ทั้ง P&G และวอลมาร์ตมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 8 เท่า สรุปจะเห็นได้ว่า การบูรณาการซัพพลายเชน เป็นกลยุทธ์ซัพพลายหนึ่งที่ธุรกิจควรให้ความสำคัญ เพราะจะช่วยให้ซัพพลายเชนทั้งของคุณและทุกๆฝ่ายในซัพพลายเชนมีความแข็งแกร่งและเพิ่มขีดการแข่งขันได้ ถึงแม้ว่าการจะบูรณาการซัพพลายเชนนั้นจะต้องอาศัยเวลาและการร่วมมือกันในระดับกลยุทธ์เพื่อทำให้เห็นผล แต่มันก็คุ้มค่ามากเมื่อบูรณาการสำเร็จ คุณจะสามารถเติบโตในตลาดของคุณได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว กลยุทธ์การจัดการโซ่อุปทาน มีอะไรบ้างกลยุทธ์การจัดการห่วงโซ่อุปทานประกอบด้วย 4 หลักการ: การจัดหา การจัดซื้อ การทำสัญญา การจัดการจัดซื้อจัดจ้างอุปกรณ์ ผลิตภัณฑ์ บริการ และการก่อสร้างตามข้อกำหนดที่ทันเวลาในระดับบริการสูงสุด (คุณภาพสินค้า ต้นทุน บริการหลังการขาย จัดส่ง)
Supply Chain มีความสําคัญอย่างไรความสำคัญของการบริหารจัดการซัพพลายเชน
1. ช่วยเพิ่มความรวดเร็วให้กับธุรกิจและเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการต่างๆ ของซัพพลายเชน ส่งผลต่อการส่งมอบวัตถุดิบและบริการต่างๆ ได้อย่างทันเวลา และการนำสินค้าใหม่ๆ เข้าสู่ตลาด 2. ช่วยลดต้นทุนของสินค้าและต้นทุนรวมได้อย่างมีประสิทธิผล ซึ่งเป็นผลมาจากการลดจำนวนสินค้าคงคลัง
การจัดการห่วงโซ่อุปทาน หมายถึงอะไรSupply Chain (ห่วงโซ่อุปทาน) คือ กระบวนการจัดการการผลิตเพื่อทำให้เกิดสินค้าหรือบริการขึ้นมา ทั้งด้านการจัดหาวัตถุดิบ บริหารการผลิต การจัดเก็บสินค้า ไปจนถึงกระบวนการจัดส่งสู่มือของลูกค้า เพื่อตอบสนองต่อความต้องการ (Demand) ของลูกค้าได้อย่างครบถ้วนและทั่วถึง
ซัพพลายเชน มีอะไรบ้างโดยการบริหาร supply chain เป็นภาพใหญ่ ซึ่งประกอบไปด้วย 3 flows ดังนี้. การจัดหาวัตถุดิบ. การผลิตสินค้า/การนำเข้าวัตถุดิบ (ผลิตเพื่อใคร ผลิตอย่างไร ). การจัดเก็บสินค้า (การจัดการคลังสินค้า). การส่งสินค้า/การกระจายสินค้า (วิธีการส่งสินค้า). การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า (ความพึงพอใจของลูกค้า). |